19.5 การทดลองด้านสเปกตรัม
19.5.1 สเปกตรัมจากอะตอมของแก๊ส
เมื่อเราใช้เกรตติ้งส่องดูแก๊สร้อนในหลอดบรรจุแก๊สชนิดต่างๆ เราจะพบเห็นว่าสเปกตรัมของแก๊สร้อนชนิดต่างๆ มีลักษณะเป็นเส้นๆ ไม่ต่อเนื่องกันแต่เส้นสว่างจะมีความยาวคลื่นเรียงกันเป็นกลุ่มอย่างมีระเบียบ เรียกว่า อนุกรม ( Series ) ดังรูป
รูป 19.9 ลักษณะสเปกตรัมของแก๊สร้อน
ความยาวคลื่นของสเปกตรัมของแก๊สไฮโดรเจนร้อนมี 5 อนุกรม โดยมีชื่อเรียกตามนักวิทยาศาสตร์ที่ค้นพบสเปกตรัมแต่ละเส้นในอนุกรมนั้น และสามารถคำนวณหาค่าความยาวคลื่นของสเปกตรัมแต่ละเส้นในอนุกรมต่างๆ ได้โดยใช้สมการ
เมื่อ คือความยาวคลื่นของสเปกตรัม (m)
RH คือค่านิจของริดเบอร์ก = 1.1 x 107 m-1
nf คือตัวเลขจำนวนเต็มที่เท่ากับ 2
ni คือตัวเลขจำนวนเต็มเริ่มตั้งแต่ 3, 4, 5,….
ตารางที่ 19.1 แสดงอนุกรมของสเปกตรัมชุดต่างๆ ของไฮโดรเจน
ชื่ออนุกรม |
ปีที่ค้นพบ |
ส่วนกลับของความยาวคลื่น |
nf |
ni |
ช่วงของรังสี |
ไลมาน (Lyman) | 1906-1914 |
1 |
2, 3, 4,… |
อัลตราไวโอเลต ( UV ) | |
บัลเมอร์ (Balmer) | 1885 |
2 |
3, 4, 5,… |
แสงที่ตามองเห็นถึง UV | |
พาสเชน (Paschen) | 1908 |
3 |
4, 5, 6,… |
||
แบรกเกต (Bracket) | 1922 |
4 |
5, 6, 7,… |
อินฟราเรด ( IR ) | |
ฟุนด์ (Pfund) | 1924 |
5 |
6, 7, 8,… |
จากสมการของบัลเมอร์ เมื่อเราแทนค่า nf = 2
ni = 3 จะได้ l = 6,562.8 0A เป็นความยาวคลื่นของแสงสีแดง
ni = 4 จะได้ l = 4,861.3 0A เป็นความยาวคลื่นของแสงสีน้ำเงิน
ni = 5 จะได้ l = 4,340.5 0A เป็นความยาวคลื่นของแสงสีม่วง
ni = 6 จะได้ l = 4,101.7 0A เป็นความยาวคลื่นของแสงสีเหนือม่วง
รูป 19.10 สเปกตรัมเส้นสว่างในอนุกรมบัลเมอร์ของอะตอมไฮโดรเจน
19.5.2 การแผ่รังสีของวัตถุดำ
วัตถุทุกชนิดไม่ว่าจะร้อนหรือเย็นจะมีการแผ่รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมา โดยทั่วไปเราเข้าใจว่าวัตถุร้อนเท่านั้นที่จะแผ่รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมา เพราะเรามักจะพบคลื่นแสงแผ่ออกมาจากวัตถุที่ร้อน เช่น แสงจากดวงอาทิตย์ แสงจากการเผาถ่านไม้ หรือแสงจากไส้หลอดทังสเตน เป็นต้น แต่ความเป็นจริงแล้ววัตถุที่เย็นก็มีการแผ่รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาเช่นกัน เพียงแต่ความถี่ของคลื่นอยู่ในช่วงของแสงน้อยมาก ส่วนใหญ่จะอยู่ในย่านความถี่ของคลื่นอินฟราเรด หากเรายืนอยู่ในห้องมืดร่างกายเรามีอุณหภูมิประมาณ 310 เคลวิน จะแผ่รังสีของแสงมาน้อยไม่สามารถทำให้ห้องสว่างได้เพราะคลื่นที่แผ่ออกมาโดยส่วนใหญ่อยู่ในย่านอินฟราเรด เราเรียกวัตถุที่มีการแผ่รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านี้ว่าวัตถุดำ (Black Body )
ปี ค.ศ. 1900 ฟลังก์ได้สร้างภาพจำลองในการแผ่รังสีของวัตถุดำโดยถือว่าวัตถุดำประกอบด้วยอะตอมคู่มากมายและอะตอมทุกคู่จะมีการสั่นด้วยความถี่ธรรมชาติ เช่นเดียวกับการสั่นของมวลผูกปลายสปริง จึงทำให้มีการแผ่รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอออกมา โดยพลังงานที่แผ่ออกมาจากวัตถุดำแต่ละชนิดจะขึ้นอยู่กับแอมพลิจูดการสั่นของอะตอม จำนวนอะตอมในวัตถุ โดยมีขนาดของพลังงานเป็น E = hf, 2hf, 3hf, . .. .. ซึ่งเราสามารถเขียนเป็นสมการได้
E = n(hf)
n คือเป็นตัวเลขจำนวนเต็มบวก โดย n = 1,2, 3, . . . .
f คือความถี่ธรรมชาติการสั่นของอะตอมคู่ ( Hz )
h คือค่านิจของแพลงค์ ( h = 6.6310-34 J.s )
ดังนั้น ปริมาณ hf จึงหมายถึง 1 ก้อนพลังงานแสง ซึ่งเรียกว่า 1 ควอนตัม หรือ 1 โฟตอน (1 เม็ดแสง)อิเล็กตรอนโวลต์ (eV) เป็นหน่วยวัดพลังงานสำหรับอนุภาคขนาดเล็ก โดย 1 eV = 1.6 10 -19 จูล
พลังงาน 1 eV. จะเป็นพลังงานที่ได้จากการเร่งอิเล็กตรอนผ่านความต่างศักย์ 1 โวลต์ (เร่งอิเล็กตรอน
ผ่านความต่างศักย์ V โวลต์ จะทำให้อิเล็กตรอนมีพลังงานเป็น V อิเล็กตรอนโวลต์)